05 มิถุนายน 2566

เปิดตัวโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัส (Coffee++) ในประเทศไทย

เรื่อง: วัลนิภา โสดา ผู้จัดการโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัส (ฝ่ายความร่วมมือพันธมิตรและความยั่งยืน)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันมีความรุนแรงจนส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม โดยระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมยังทำให้ผลผลิตกาแฟและรายได้ของเกษตรกรลดลง เพื่อช่วยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ภายใต้โครงการ “ความยั่งยืนและการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานการเกษตร” ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือพันธมิตรระดับโลก ในการกำกับดูแลของกระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี (BMZ) ได้ร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชน คือ บริษัท เนสท์เล่ ในการพัฒนาโครงการฯ โดยใช้หลักพหุวิทยาการ ทั้งแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งพันธมิตรทั้งหมดเล็งเห็นถึงศักยภาพของโครงการฯ ในการช่วยพัฒนาระบบนิเวศแวดล้อมและยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น

ด้วยความพยายามที่จะสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2565 องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมันและบริษัท เนสท์เล่ ได้ตกลงที่จะดำเนินโครงการ “ยกระดับคุณภาพชีวิตและความพร้อมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของผู้ผลิตกาแฟรายย่อยด้วยระบบการผลิตแบบเกษตรกรรมฟื้นฟู” หรือ “คอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัส (Coffee++)” ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการ “พัฒนาระบบการผลิตกาแฟของผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ “คอฟฟี่พลัส (Coffee+)” ที่เริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. 2561 เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยในไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ปรับกระบวนการคิดให้มองการทำการเกษตรว่าเป็นการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่งซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบการจัดการสวนกาแฟให้มีผลผลิตและรายได้มากขึ้น  

คุณก้าน รักสนิท สมาชิกโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัส

โครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัสขยายพื้นที่เป้าหมายไปยังเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยในประเทศโกตดิวัวร์ (ไอวอรี่ โคสต์) ทวีปแอฟริกา และนำนวัตกรรมเชิงพหุวิทยาการเข้ามาใช้ในการดำเนินโครงการ โดยโครงการใหม่นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยในพื้นที่เป้าหมายในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการนำหลักเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูไปปฏิบัติ

รูปแบบวนเกษตรและการปลูกพืชร่วมกับกาแฟที่เหมาะสมกับพื้นที่ของจังหวัดชุมพรและระนอง

นอกจากนั้น มาตรการใหม่ที่นำมาใช้ในโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัสยังรวมไปถึงการดำเนินงานด้านวนเกษตรในสวนกาแฟ การฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมและภูมิทัศน์ และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการดำเนินกิจกรรมของโครงการฯ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการทำงานไปอีกขั้นจากมาตรการเดิมที่เน้นให้การอบรมในหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตร (Farmer Business School) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกร เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเกษตรกร การสร้างรายได้เพิ่มจากการปลูกพืชร่วมกับกาแฟ และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนให้ดียิ่งขึ้น

การฝึกอบรมความรู้การจัดการสวนกาแฟในหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตรโดยเจ้าหน้าที่ของโครงการ

โครงการฯ นี้มีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ซึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ในสองจังหวัดคือชุมพรและระนอง สำหรับในปีแรกนี้ประเทศไทยจะเริ่มดำเนินการด้านวนเกษตรควบคู่ไปกับการทำเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู โดยตั้งเป้าที่จะเห็นเกษตรกรปลูกต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ในโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 115,000 ต้นภายในปี 2566 และจะปลูกต้นไม้ให้ได้รวม 360,000 ต้นภายในระยะเวลาดำเนินโครงการฯ นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินงาน อาทิ แอปพลิเคชันการจัดการฟาร์มอัจฉริยะ พร้อมทั้งการทำเกษตรเชิงฟื้นฟูเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยเพิ่มคาร์บอนในดิน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกษตรกรสร้างรายได้จากสวนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเอื้อประโยชน์ต่อระบบนิเวศและสภาพภูมิอากาศ โดยแนวปฏิบัติการเกษตรเชิงฟื้นฟูที่โครงการฯ นำมาใช้ ได้แก่ การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อลดการใส่ปุ๋ยเกินความต้องการ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต การฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน การลดและควบคุมการชะล้างพังทลายของดิน การผลิตปุ๋ยหมักเพื่อใช้เอง รวมถึงการฟื้นฟูต้นพันธุ์กาแฟตามหลักปฏิบัติมาตรฐาน 4C ของประเทศเยอรมนี

ทีมงานโครงการคอฟฟี่ดับเบิ้ลพลัสในประเทศไทย
นอกจากนี้โครงการฯ ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตร ที่ร่วมกันทำงานเพื่อสนับสนุนเกษตรกรมาตั้งแต่เริ่มต้น รวมไปถึงพันธมิตรใหม่อย่างกรมพัฒนาที่ดิน ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและดำรงชีพด้วยการทำเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมหน่วยงานพันธมิตรให้ร่วมสานต่องานที่โครงการฯ ทำไว้ให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

วิดีโอ

ติดต่อเรา

  • +66 2 255 4202
  • asean-agrifood@giz.de
  • 39/1 ซอยสุขุมวิท 13, ถนนสุขุมวิท, คลองเตยเหนือ, วัฒนา, กรุงเทพฯ 10110 ประเทศไทย

การเยี่ยมชม

  • 66
  • 46,200
  • 1,580,307

สื่อและแหล่งข้อมูล

โครงการ

การป้องกันข้อมูล

สมัครจดหมายข่าว

ติดตามเรา

  • Copyright © 2014 - 2019 | Sustainable Agrifood Systems in ASEAN
Scroll to Top