องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) เปิดตัวโครงการมูลค่า สี่ล้านยูโร หรือราว 150ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรรายย่อยของไทยและภูมิภาคอาเซียนให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่จำเป็นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเพศในภาคเกษตร
โครงการการพัฒนาบริการทางการเงินเชิงนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศสำหรับภาคการเกษตรในภูมิภาคอาเซียน (Innovative Climate Risk Financing for the Agricultural Sector in the ASEAN Region:Agri-Climate Risk Financing) ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธรัฐเยอรมัน (BMZ) โดยมีองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) เป็นผู้ดำเนินโครงการทั้งในระดับภูมิภาคผ่านแผนกอาหาร เกษตรและป่าไม้ ของสำนักงานเลขาธิการอาเซียน (The ASEAN Secretariat) และในระดับประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย ประเทศไทย และเวียดนามผ่านคณะทำงานด้านพืชของอาเซียน (ASEAN Sectoral Working Group on Crops: ASWGC)
โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินงานระหว่างเดือนมกราคม 2566 – ธันวาคม 2568 (3 ปี) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้กับเกษตรกร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรทั้งชายและหญิงมีศักยภาพในการปรับตัวและรับมือต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกษตรที่ยั่งยืนของไทย
“ด้วยโครงการนี้ เราจะสามารถดำเนินกิจกรรมใหม่ ๆ กับหน่วยงานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งจากภาคการเกษตร การเงินไปจนถึงเกษตรกรในแต่ละพื้นที่“ ดร.นานา คึนเคล ผู้อำนวยการและผู้ประสานงานกลุ่มเกษตรและความปลอดภัยทางอาหาร GIZ ประเทศไทย กล่าวภายในการการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ต่อโครงการฯ
นางประพิศ วองเทียม ผู้อำนวยการกองแผนงานและวิชาการ กรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า ภาคการเกษตรยังคงเป็นภาคส่วนที่สำคัญที่เป็นแหล่งรายได้ให้กับประชากรและมีมูลค่าสำคัญทางเศรษฐกิจในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผลผลิตของภาคการเกษตรนั้นกำลังได้รับผลกระทบโดยตรงจากความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ เช่น เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง พายุและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
“ประเทศไทยถูกจัดลำดับอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงในระยะยาว ดังนั้น การสนับสนุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะเกษตรกรของเราให้สามารถรับมือและปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง“
ในระดับอาเซียน ได้มีการริเริ่มวิธีการรับมือกับความเสี่ยงของสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตร โดยจัดทำคู่มือให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่อง การพัฒนาโครงการประกันภัยพืชผล หรือที่เรียกว่า “10 Phases Developing a National Crop Insurance Program: Guide Overview” ซึ่งได้รับการอนุมัติในที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 เมื่อปี พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ ยังมีแผนยุทธศาสตร์ด้านพืชของอาเซียน ปี 2564 – 2568 ของคณะทำงานด้านพืชของอาเซียน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการแผนนี้ ได้มีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์เชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติและภัยพิบัติอื่น ๆ
ในประเทศไทยก็มีการดำเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการวิจัยและพัฒนา เพื่อดำเนินงานและปรับปรุงมาตรการที่จะช่วยเกษตรกรในการรับมือกับความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศผ่านเครื่องมือและบริการทางการเงิน ซึ่งหนึ่งในตัวอย่าคือ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ที่ได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรในหลายปีที่ผ่านมานี้
ผู้อำนวยการกองแผนงานและวิชาการ กรมวิชาการเกษตรเชื่อว่าประเทศไทยยังสามารถพัฒนา และขยายเครื่องมือและบริการทางการเงินในรูปแบบอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของเกษตรกรและสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
- ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในอาเซียน เพื่อให้สามารถรับมือและถ่ายโอนความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
- การดำเนินมาตรการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้เกษตรกรในการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนทางสภาพภูมิอากาศ
- การคำนึงถึงความต้องการและข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินของเกษตรกรหญิงและชาย และการเสริมสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงทางการเงินเพื่อให้แนวทางการดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และเท่าเทียมสำหรับทุกคน
การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย นักวิจัย นักวิชาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวแทนเกษตรกรสมาชิกโครงการที่ดำเนินงานโดย GIZ ประเทศไทยมากกว่า 70 ท่าน ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น คำแนะนำและแนวทางในการดำเนินโครงการในประเทศไทย ผ่านกิจกรรมกลุ่มย่อย แบ่งเป็น 3 หัวข้อคือ
กลุ่มที่ 1:ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อการรับมือต่อสภาพภูมิอากาศเพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการของเกษตรกร และเอื้อต่อการใช้โดยเกษตรการทั้งชายและหญิง
การหารือกลุ่มได้มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มีอยู่ในประเทศไทยเพื่อศึกษาภาพรวมและระดมความคิดในความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน กลไกการประกันภัยพืชผลที่ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรและช่วยลดต้นทุนในระดับปฏิบัติการ
กลุ่มที่ 2:ความรู้ของเกษตรกรเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงิน และการยกระดับศักยภาพของเกษตรกรและหน่วนงานที่เกี่ยวข้องในหัวข้อการเงินและความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตร
เกษตรกรยังคงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงและไม่อาจคาดเดาได้ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรรายย่อยเพื่อรับมือและจัดการความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างการประกันภัยพืชผลยังคงเป็นเรื่องจำเป็น
กลุ่มที่ 3:การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
ประเทศไทยมีนโยบายเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในการรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยพิบัติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามกลุ่มย่อยมีข้อเสนอแนะให้โครงการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทและความเป็นไปได้ในการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและภาคธุรกิจในการสนับสนุนภาคการเกษตร
คุณทอส์ทกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะทำงานจะนำข้อคิดเห็นและคำแนะนำจากผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มาเป็นแนวทางในการดำเนินโครงการฯและประสานความร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร และอาเซียน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และคำแนะนำเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของเกษตรกรและเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเพศให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายได้ในระยะยาวต่อไป ■