สรรเพชร กิจไพบูลทวี เติบโตในครอบครัวชาวสวนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ครอบครัวของเขาทำสวนปาล์มร่วมกับการปลูกผักพื้นบ้านและไม้ผลพื้นเมือง การทำสวนแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาและแรงงานจำนวนมาก สวนทางกับรายได้ที่ได้รับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เขาตัดสินใจศึกษาต่อด้านการจัดการสวนเกษตรในมหาวิทยาลัย
ปัจจุบันสรรเพชร หรือโอ๊ต กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและธุรกิจเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โอ๊ตและเพื่อนนักศึกษาอีก 2 คน ได้เข้าร่วมการฝึกงานในโครงการพัฒนาระบบการผลิตกาแฟของผู้ประกอบการรายย่อย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือคอฟฟี่พลัส เป็นระยะเวลา 3 เดือนในพื้นที่จังหวัดชุมพรและระนอง ทั้งสามคนร่วมแบ่งปันความประทับใจและประสบการณ์ใหม่ที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำกาแฟอย่างยั่งยืนเพื่อปูพื้นฐานและเตรียมพร้อมไปสู่การเป็นนักธุรกิจเกษตรรุ่นใหม่
โอ๊ตเล่าเพิ่มเติมว่า ตนและเพื่อนนักศึกษาเดินทางไปยังพื้นที่ดำเนินโครงการในจังหวัดชุมพรและระนอง และได้มีโอกาสพบกับเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า โดยเกษตรกรเหล่านี้ล้วนได้เข้าร่วมการอบรมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ หลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตร (Farmer Business School: FBS) ที่ดำเนินการโดยโครงการคอฟฟี่พลัส และได้นำเอาความรู้ที่ได้รับไปปฎิบัติจริงในสวนกาแฟของตนเอง หลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตร คือ ผลงานที่โดดเด่นซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างโครงการคอฟฟี่พลัส กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้ผู้ปลูกกาแฟรายย่อยมีความรู้และทักษะการเป็นผู้ประกอบการผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้งในเรื่องของวิธีจัดการแปลงเกษตรแบบมืออาชีพ เทคนิคการเพิ่มผลผลิตกาแฟ การลดต้นทุนโดยการผสมปุ๋ยใช้เอง การจัดการดินและธาตุอาหาร รวมถึงการปลูกพืชผสมผสานและการฟื้นฟูสภาพต้นกาแฟ เกษตรกรจะได้เข้าร่วมอบรมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐและครูฝึกของหลักสูตร “โรงเรียนธุรกิจเกษตร” เพื่อเรียนรู้วิธีการถ่ายทอดความรู้ไปสู่กลุ่มเกษตรกรในชุมชนของตนเองได้อย่างทั่วถึง
ไม่เพียงแค่ความรู้ที่ได้รับ เธอยังสนุกสนานกับการทดสอบและชิมกาแฟ และยังสามารถแยกความแตกต่างของโทนกลิ่นและรสชาติของกาแฟ อาทิ เมล็ด กาแฟที่ให้รสเปรี้ยวแบบผลไม้ ความหอมกรุ่นคล้ายถั่ว รสชาตินุ่มละมุนของคาราเมล และรสขมเหมือนช็อกโกแลตหรือโกโก้
ภายหลังจากการพบกับเกษตรกรรายย่อย โอ๊ตกล่าวว่า ความสำเร็จของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการคอฟฟี่พลัส เป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งใจจะนำเอาแนวทางการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีไปปรับปรุงการทำสวนของครอบครัว นวัตกรรมและเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในกระบวนการผลิตกาแฟ ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวเมล็ดเชอร์รี่กาแฟ การล้างเมล็ด การอบแห้งและการคั่ว ไปจนถึงกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนในประเทศไทยต่อไป เขาเชื่อว่าการจัดการพื้นที่เพาะปลูก โดยการวิเคราะห์ดินและการทำการเกษตรแบบผสมผสาน เช่น มะละกอ กล้วย หรือพืชอื่นๆ ร่วมกับกาแฟ โดยเฉพาะต้นหมากที่สามารถขายได้ราคาสูงและเป็นที่ต้องการของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยในช่วงการระบาดของโควิด -19 อีกด้วย
นักศึกษาฝึกงานทั้งสามคนได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากโครงการคอฟฟี่พลัสกับเพื่อนร่วมชั้นของตน ด้วยความหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจในการทำการเกษตรที่ยั่งยืนผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
พจมาน วงษ์สง่า ผู้อำนวยการโครงการคอฟฟี่พลัส ได้เน้นย้ำถึงประโยชน์ในการฝึกงานของนักศึกษาร่วมกับโครงการว่า นอกจากจะช่วยพัฒนาความถนัดทางวิชาชีพแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างบทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบ และเปิดประตูไปสู่โอกาสในอนาคต โดยเฉพาะผู้ที่เรียนวิชาเอกที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ความรู้ที่ได้รับนี้จะเป็นสะพานไปสู่งานภาคการเกษตรหลังจากสำเร็จการศึกษาในมหาวิทยาลัย
นักศึกษาสามารถนำเอาทักษะและความรู้ที่ได้รับจากการฝึกงานไปประยุกต์ใช้กับการทำสวนหรือธุรกิจของตน เพื่อปรับตัวเท่าทันกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและราคาสินค้าที่มีความผันผวน ตลอดจนมีความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงในการทำเกษตร สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของครอบครัวและชุมชนของตนได้ดีขึ้น
“ชุมชนท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ น้ำ ดิน และธาตุอาหารในดิน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน พวกเราควรให้ความรู้ทางเทคนิคและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเกษตร เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความพร้อมและสามารถเป็นนักธุรกิจเกษตรได้ในระยะยาว” พจมานกล่าว ■