กรมการข้าวจับมือจีไอแซดตั้งเป้าส่งเสริมการทำนา เพิ่มขีดความสามารถชาวนาไทยให้สามารถปรับตัวและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นอันตรายต่อภูมิอากาศโลก
คาดว่าชาวนามากถึง 250,000 ครัวเรือนใน 15 จังหวัดภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงได้รับประโยชน์จากแผนการดำเนินงานโครงการดังกล่าว ผ่านการส่งเสริมให้ชาวนาเรียนรู้และลงมือปฏิบัติเทคนิคการทำนาในรูปแบบใหม่ เช่น การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ การจัดการฟางและตอซัง การอบรมการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการส่งเสริมชาวนาให้ได้รับรองจากมาตรฐานข้าวยั่งยืน (Sustainable Rice Platform: SRP) เป็นต้น
เทคนิคการปลูกข้าวรูปแบบใหม่นี้ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำนาได้มากถึง 4.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในระยะเวลา 5 ปีของแผนการดำเนินงาน และยังช่วยให้ชาวนาสามารถรับมือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงและยาวนานขึ้น โครงการนี้ยังนำเสนอมาตรการส่งเสริมการประกันภัยพืชผลเนื่องด้วยความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ เพื่อช่วยลดความเปราะบางทางการเงินของสมาชิกในครัวเรือนของเกษตรกรได้มากถึง 1.2 ล้านราย
ข้าวมีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อย่างไรก็ตามวิถีการทำนาแบบดั้งเดิมโดยการขังน้ำในนาเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดการสะสมของก๊าซมีเทน ซึ่งจัดเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่าจากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change)
นอกจากนี้ภาคการเกษตรยังจำเป็นต้องอาศัยลมฟ้าอากาศจึงมีความเปราะบางและได้ผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรงและสุดขั้ว เช่น ภัยแล้งและอุทกภัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลเสียหายทั้งคุณภาพและผลผลิตทางการเกษตร ความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศและสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรนับล้านราย
คณะทำงานพัฒนาต่อยอดแนวคิดจากโครงการข้าวที่ดำเนินงานอยู่เช่น โครงการยกระดับความสำคัญของข้าวยั่งยืนผ่านเวทีข้าวยั่งยืน (SRP) และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA)
กรมการข้าว และจีไอแซดทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อระบุกิจกรรมและกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยในฐานะเจ้าของโครงการฯสามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรมการข้าวจะรับหน้าที่เป็นหน่วยงานปฏิบัติการ (Executing Entity) ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการฯ และจีไอแซดจะทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยงานปฏิบัติการและหน่วยงานปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง (Accredited Entity) ดูแลการดำเนินงานภาพรวมทั้งหมดของโครงการและรายงานความคืบหน้ากลับไปยังกองทุนภูมิอากาศสีเขียว
คณะทำงานได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เวทีข้าวยั่งยืน รวมทั้งตัวแทนจากภาคเอกชนและการศึกษา เป็นต้น
ก่อนหน้านี้คณะทำงาน ได้จัดการประชุมออนไลน์ร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยประสานงานหลักของประเทศ (National Designated Authority) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียวเพื่อนำเสนอแนวคิดและปรึกษาหารือเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดทำและนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับโครงการนี้ให้กับทางกองทุนฯ
ในกรณีที่แนวคิดโครงการ Thai Rice GCF ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานเลขาธิการของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว คณะทำงานจะร่างข้อเสนอโครงการฯเพื่อยื่นขอเงินทุนสนับสนุนจากทางกองทุนฯ อย่างเป็นทางการในลำดับต่อไป