ภาพลักษณ์ของน้ำมันปาล์มในสายตาใครหลายคนนั้นไม่ต่างจาก “ผู้ร้าย” ที่บุกเข้ามาทำลายผืนป่า พรากชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่ และบ้านของชนกลุ่มคนพื้นเมือง มิหนำซ้ำ น้ำมันปาล์มยังเป็นปัจจัยสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนปัญหามลพิษทางอากาศขั้นรุนแรง ซึ่งเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นปาล์ม ทำให้เกิดกระแสต่อต้านและการรณรงค์ให้เลิกใช้น้ำมันปาล์มขึ้น
แต่รู้ไหม . . น้ำมันปาล์มและการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นไปด้วยกันได้
กนกวรรณ ศาศวัตเตชะ ผู้จัดการโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประจำประเทศไทย หรือ Sustainable and Climate-Friendly Palm Oil Production and Procurement (SCPOPP) in Thailand เล่าให้ฟังว่า ทำไมการผลิตน้ำมันปาล์มโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมถึงเป็นเรื่องที่ ‘เป็นไปได้’
“เราต้องยอมรับว่า การบุกรุกเพื่อปลูกปาล์มคือเรื่องจริง แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า พื้นที่ปลูกปาล์มไม่ได้มาจากผืนป่าทั้งหมด จึงไม่ควรเหมาเข่งว่าน้ำมันปาล์มทั้งหมดเป็นผู้ร้าย”
กนกวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีระบบการปกป้องและอนุรักษ์ผืนป่าที่ดีและพื้นที่ปลูกปาล์มใหม่ส่วนใหญ่ในประเทศล้วนมากจากพื้นที่การเกษตรเดิม เช่น สวนยาพารา สวนผลไม้ หรือนาข้าวร้าง ดังนั้น ปัญหาการบุกรุกป่าเพื่อปลูกต้นปาล์มในเมืองไทยจึงแทบเป็นศูนย์
“การต่อต้านน้ำมันปาล์มโดยไม่รู้แน่ชัดว่าน้ำมันปาล์มเหล่านั้นมาจากผืนป่าจริงหรือไม่ ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะนั้นเท่ากับเป็นการตัดท่อรายได้ของเกษตรกรรายย่อยหลายแสนครัวเรือนในประเทศไทยที่ไม่ได้บุกรุกป่า”
น้ำมันปาล์มเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติ .. จริงหรือ?
ปาล์มเป็นพืชผลสำคัญและเก่าแก่ มนุษย์ในอดีตใช้ผลปาล์มเพื่อสกัดน้ำมันมาปรุงอาหาร และนำใบของปาล์มไปจักสานทำสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่หลังคาบ้านไปจนถึงตะกร้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มพุ่งสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากประโยชน์สารพัดและเนื้อสัมผัสแบบครีมของปาล์ม อีกส่วนหนึ่งมาจากการให้ผลผลิตของปาล์มซึ่งใช้พื้นที่แค่เกือบครึ่งหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของพืชผลอื่น ๆ เพื่อผลิตน้ำมันปริมาณมากกว่า 6-10 เท่า เช่น ถั่วเหลือง เรปซีด เมล็ดดอกทานตะวัน มะพร้าว และมะกอก
แต่ในปัจจุบัน น้ำมันปาล์มกลับเป็นพืชที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเชื่อกันว่า พื้นที่ป่าฝนเขตร้อน ที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนพื้นเมือง และสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เช่น เสือโคร่งและลิงอุรังอุตังในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ถูกคุกคามร้ายแรงจากการแผ้วถางป่าให้กลายเป็นสวนปาล์ม
แต่กนกวรรณกลับเห็นต่าง โดยให้เหตุผลว่า การผลิตน้ำมันปาล์มที่เน้นเร่งผลผลิตอย่างเดียวจนขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมต่างหากที่เป็นต้นเหตุของการตัดไม้ทำลายป่า
“ป่าฝนเขตร้อนทุก ๆ แห่งนอกจากเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าแล้ว ยังมีบทบาททีสำคัญในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์และผลิตก๊าซออกซิเจน หรืออากาศบริสุทธิ์ให้กับพวกเรา”
เมื่อผู้ปลูกปาล์มละเลยการผลิตที่ยั่งยืน นั้นเท่ากับว่าพวกเขาทำลายบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด ทำลายปอดของโลก และเพิ่มปัญหาโลกร้อนแบบทวีคูณ
“หลังจากตัดต้นไม้ใหญ่ไปขายแล้ว ซากพืชที่เหลือจะถูกเผาทิ้งเพื่อเคลียร์พื้นที่ก่อนปลูกต้นปาล์ม ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควัน หรือฝุ่นที่ทำลายสุขภาพมนุษย์เราตามมา”
การปลูกปาล์มที่ไม่ทำลายผืนป่า
สวนปาล์มที่ผ่านการรับรองมาตรฐานขององค์กรสนับสนุนการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน หรือ อาร์เอสพีโอ (Roundtable on Sustainable Palm Oil: RSPO) จะไม่สามารถแผ้วถางป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ (เช่น ชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์) หรือระบบนิเวศที่เปราะบางได้ ผู้ปลูกปาล์มที่ได้รับการรับรองจะต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดการกัดเซาะหน้าดินให้น้อยที่สุดและปกป้องแหล่งน้ำ
นอกจากความห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ปลูกปาล์มต้องใส่ใจประเด็นสิทธิมนุษยชน เช่น การจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ การไม่ใช่แรงงานเด็ก และการได้รับความยินยอมจากชุมชนท้องถิ่นล่วงหน้าโดยชุมชนท้องถิ่นจะยังมีอิสระและได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนรอบด้าน
“ปัจจุบัน ประเทศไทยมีภาพลักษณ์การผลิตน้ำมันปาล์มที่ดี ไม่มีปัญหาบุกรุกพื้นที่ป่าหรือป่าพรุรุนแรง แต่ถ้าคนไทยยังคงนิ่งเฉย ไม่สนับสนุนน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนตอนนี้ ประเทศไทยอาจมีภาพลักษณ์ที่แย่เหมือนประเทศอินโดนีเซียหรือมาเลเซียก็ได้”
ทุกวันนี้ น้ำมันปาล์มที่ผลิตตามมาตรฐาน RSPO ทั่วโลกมีสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 19 เท่านั้น ในขณะที่ประเทศไทยมีเกษตรกรที่สามารถปลูกปาล์มยั่งยืนน้อยกว่า 1% “เกษตรกรผู้ปลูกน้ำมันในไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักและขาดความรู้เรื่องการปลูกปาล์มยั่งยืน”
การแทรกแซงจากรัฐบาลในประเทศผู้ผลิตมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากวิธีแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มที่อาศัยกลไกตลาดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ยั่งยืน กนกวรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการน้ำมันปาล์มแห่งชาติ (กนป.) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควรเร่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและอุตสาหกรรมผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานอย่างจริงจังเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มในบ้านเราให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อผืนป่าและทุกชีวิตที่อยู่ในนั้น
“ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเกษตรกรปลูกปาล์มอย่างยั่งยืน โรงงานควรรับซื้อน้ำมันปาล์มจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืนและต้องสื่อสารให้ผู้บริโภครับทราบ”
บทบาทของ ‘ผู้บริโภค’ ที่หายไป
สิ่งสำคัญที่ยังขาดหายไปเป็นส่วนใหญ่ คือ เสียงของผู้บริโภคในประเทศที่ยังไม่มีความต้องการน้ำมันปาล์มยั่งยืน เพราะไม่รู้ว่าน้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่พบได้ในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ แชมพู น้ำยาทำความสะอาด และลิปสติก รวมถึงกว่าครึ่งของอาหารที่วางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเองก็มีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์ม
“ผู้บริโภคหลายคนอาจจะคิดว่าปัญหาการบุกรุกทำลายป่าเป็นเรื่องไกลตัวและไม่ใช่ปัญหาที่ตนก่อขึ้น แต่ความจริงมันเป็นใกล้ตัวเรามาก เพราะมากกว่า 50% ของผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เช่น อาหารและไบโอดีเซลมีน้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสม ผู้บริโภคเป็นคนกำหนดได้ว่าจะ ‘หยุด’ หรือ ‘ปล่อย’ ให้ปัญหาดำเนินต่อไป”
คุณกนกวรรณอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า เกษตรกรหนึ่งคนจะสามารถปลูกปาล์มอย่างยั่งยืนได้ต้องผ่านหลายขั้นตอนและต้องเข้าอบรมเพิ่มพูนความรู้และทักษะหลายอย่าง ซึ่งมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงก่อนจะผ่านการรับรอง RSPO ได้
“น่าเสียดายที่น้ำมันปาล์มที่ผลิตอย่างยั่งยืนจากไทยถูกส่งออกไปผลิตเป็นสินค้าและวางขายในตลาดยุโรปหมด ในฐานะที่เป็นคนไทย เราอยากมีโอกาสได้ใช้สินค้าที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มยั่งยืนในบ้านเราบ้าง”
เพียงแค่ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่มีฉลาก RSPO ค่าใช้จ่ายตรงนั้นจะกลายเป็นผลกำไรสู่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรและครอบครัวดีขึ้น อีกทั้งสร้างแรงจูงใจในการปลูกปาล์มอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไป