
เกษตรกรสมาชิกโครงการข้าวหอมมะลิยั่งยืน (Sustainable Aromatic Rice Initiative หรือ SARI) จากจังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งหมดราว 50 ท่านเดินทางแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ชาวนาอีสาน-กลาง-เหนือ ในประเด็นการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การเดินทางศึกษาดูงานทางรถตลอดสัปดาห์เมื่อไม่นานมานี้ เริ่มต้นจากบ้านเกิดของเกษตรกรสมาชิกโครงการ คือจังหวัดร้อยเอ็ด หนึ่งในห้าจังหวัดที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ พื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ราวสองล้านไร่ หนึ่งในสามของพื้นที่อยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด ทุ่งกว้างนี้ยังครอบคลุมบริเวณพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ยโสธรและมหาสารคาม ครั้งหนึ่งทุ่งกุลาร้องไห้เคยแห้งแล้งได้รับการพัฒนาให้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิอันโด่งดัง แต่ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ และการปลูกข้าวที่อาศัยแต่เพียงน้ำฝน ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละครั้ง เกษตรกรจำเป็นต้องหารายได้เสริมจากปศุสัตว์ ปลูกพืชผักสวนครัว แม้กระทั่งรับจ้างทำงานนอกพื้นที่เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว
พื้นที่เยี่ยมชมแรกอยู่ที่จังหวัดชัยนาท เกษตรกรได้มีโอกาสพบปะกับสมาชิกของโครงการไทย ไรซ์ นามา (Thai Rice NAMA) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการปรับที่นาด้วยระบบเลเซอร์ เทคนิคการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน การศึกษาและปรับปรุงคุณภาพดิน เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพ ลดค่าใช้และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการจัดการพื้นที่เกษตร
สำหรับศึกษาดูงานในจังหวัดชัยนาท เกษตรกรสมาชิกโครงการ SARI ได้พบกับนายบุญญฤทธิ์ หอมจันทร์ หนึ่งในเกษตรกรสมาชิกโครงการ ไทย ไรซ์ นามา ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการปลูกข้าวนอกฤดูทำนาจากพื้นที่จริงในอำเภอสรรคบุรี ทำให้เข้าใจถึงศักยภาพทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดินและน้ำ ประกอบกับความกระตือรือร้นของเกษตรกรที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเอง นำความรู้จากโครงการมาปรับใช้ สามารถยกระดับการผลิตข้าวและการจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้พบกับกลุ่มเกษตรอัจฉริยะ นำโดยนายจรัญ อนุสาสนนันท์ ที่นำแอพพลิเคชันมือถือมาจัดเก็บข้อมูลการจัดการดินและน้ำ ช่วยควบคุมการใช้ดินและน้ำในแปลงสวนผักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรสมาชิกได้ตลอดปี

จุดที่สองของการเยี่ยมชมศึกษาดูงานอยู่ทางภาคเหนือ กลุ่มเกษตรกรได้พบกับนายจรัญ-นางสมศรี ปลุกเสก และนายยุทธนา วรรณรัตน์ เกษตรกรสมาชิกโครงการการจัดการห่วงโซ่อุปทานข้าวและมันฝรั่ง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ด้วยวิธีการปลูกข้าว มันฝรั่ง และข้าวโพดหมุนเวียนอย่างยั่งยืน (Building a Climate Resilient Potato Supply Chain Through a Whole-Farm Approach หรือ RePSC) สนับสนุนโดย กระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ผ่าน DeveloPPP ร่วมกับ บริษัท เป๊ปซี่โค เซอร์วิสเซส เอเชีย จำกัด และ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (PepsiCo) และ โครงการระบบการผลิตข้าวยั่งยืนแบบองค์รวม (Inclusive Sustainable Rice Landscapes หรือ ISRL) สามารถนำแนวทางการปลูกพืชแบบหมุนเวียน และระบบเกษตรผสมผสานมาใช้ปรับใช้กับพื้นที่เกษตรของตนได้อย่างดี เกษตรกรสมาชิกนำพืชหมุนเวียนอย่างข้าวโพดหวาน ถั่วแระญี่ปุ่นมาปลูกนอกฤดูทำนา และลงทุนกับการติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้บริหารจัดการน้ำจากคลองชลประทานมายังพื้นที่เกษตร ทำให้สามารถจัดการน้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าไฟฟ้า ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและสร้างความยั่งยืนได้ในระยะยาว

นอกจากน้ำและพลังงานซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญทางการเกษตร สร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยี โดรน และเทคโนโลยีที่สร้างสิ่งแวดล้อมเสมือน (Virtual Reality หรือ VR) ซึ่งนำเสนอในพื้นที่โดยหุ้นส่วนโครงการอย่างครอปไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยฟื้นฟูสุขภาพพืช ควบคุมการแพร่ระบาดของวัชพืชและแมลงรบกวนในพื้นที่เกษตรโดยไม่ต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และปุ๋ยเคมีปริมาณมาก รวมทั้งลดการใช้แรงงานจำนวนมากในพื้นที่เกษตรด้วย


นางหลั่น คำว่อง เกษตรกรหัวก้าวหน้าจากอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย สามารถยกระดับวิธีการจัดการแปลงเกษตรขนาดเล็กของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแกนนำในการรวมกลุ่มสมาชิกในชุมชนเพื่อตั้งกลุ่มสหกรณ์ผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนไร้สารขายสร้างรายได้ให้กลุ่มสมาชิกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังได้เปิดพื้นที่เกษตรสวนผสมขนาด 7 ไร่ของตนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ภายใต้ชื่อ “สวนยายหลั่น” มีเกษตรกรทั้งในชุมชนใกล้เคียงและพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้ความสนใจมาเยี่ยมชมและวิธีการจัดการสวนเกษตรตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ก่อนสิ้นสุดการเดินทาง กลุ่มเกษตรกรยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิดในประเด็นสตรีกับภาคการเกษตรไทยกับกลุ่มเกษตรสตรีในหัวข้อ“บทบาทสตรีที่เปลี่ยนไป กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ในบริบทการปลูกพืชที่แตกต่าง” ที่นำความรู้ที่ได้จากการเข้ารวมโครงการมาปรับใช้ในพื้นที่อย่างเหมาะสม ทำให้เกษตรกรสตรีกลุ่มนี้สามารถปรับตัวได้ดีและมีความเข้มแข็งเอาชนะสภาวะแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศในพื้นที่สูงทางภาคเหนือที่แห้งแล้งในช่วงหน้าร้อนและหน้าหนาว ในการจัดการพื้นที่เกษตรได้ตลอดฤดูกาลจนสามารถเป็นผู้นำให้กับสมาชิกในครอบครัวได้อย่างมั่นคง
ดร. อรรถวิชช์ วัชรพงศ์ชัย ผู้อำนวยการโครงการ GIZ ประจำประเทศไทย กล่าวว่ากิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเกษตรกรครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ SARI ซึ่งสนับสนุนโดยมาร์ส ฟู้ดส์ ที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดพื้นที่ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับข้าวยั่งยืนแบบองค์รวมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในกลุ่มเกษตรกรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ราว 1.2 พันคนใน19 ชุมชนของจังหวัดร้อยเอ็ด เกษตรกรกลุ่มนี้มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิสูงถึง 3.5 พันตันต่อปี

ภายหลังจากการศึกษาดูงานในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ นางแตงอ่อน พิศเพ็ง เกษตรกรสตรีจากอำเภอสุวรรณภูมิกล่าวว่า ตนเองกำลังเตรียมตัวเก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่ 65 ไร่ และจะลงปอเทืองในพื้นที่นาทั้งหมดภายหลังเก็บเกี่ยว เพราะปอเทืองช่วยปรับปรุงคุณภาพดินได้เป็นอย่างดี ปีที่ผ่านมาแม่แตงอ่อนทดลองปลูกปอเทืองในพื้นที่นาขนาด 10 ไร่ และพบว่าดินในพื้นที่ปลูกปอเทืองนุ่มและร่วนซุยกว่าพื้นที่ที่ไม่ได้ปลูก การปลูกข้าวในฤดูกาลนี้ตนเอง ใช้ปุ๋ยบำรุงข้าวน้อยลงเกือบครึ่งในพื้นที่นาที่ทดลองปลูกปอเทือง ผลลัพธ์ที่ชัดเจนนี้ ทำให้มีความมั่นใจที่จะเดินหน้าจัดการพื้นที่เกษตรนอกฤดูกาลเต็มรูปแบบในปีนี้

“คุณภาพดินคือพื้นฐานสำคัญของการปลูกข้าว หากดินมีคุณภาพดี เราก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมาก เกษตรกรต้องรู้จักเรียนรู้และลงมือทำเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองก่อน จากนั้นจึงค่อยนำองค์ความรู้มาจัดการพื้นที่ของตน ทั้งเรื่องดิน น้ำและอื่น ๆ เราจึงจะเห็นผลผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ที่ดีมีคุณภาพเป็นผลตอบแทน ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ” แม่แตงอ่อนกล่าว
นายยูร ตระการผล อีกหนึ่งเกษตรกรสมาชิกโครงการ SARI กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจจากแนวทางเกษตรสวนผสมในพื้นที่เล็กของสวนยายหลั่น เมื่อเร็ว ๆ นี้มีโครงการน้ำประปาเทศบาลผ่านที่ดินของครอบครัวที่ถูกทิ้งรกร้างว่างปล่าวไว้ พอกลับมาจากการศึกษาดูงาน จึงเริ่มลงมือปรับปรุงพื้นที่ทันทีโดยเริ่มจากการปลูกผลไม้เมืองร้อนอย่างฝรั่ง มะม่วง ขนุน และคาดว่าจะได้ผลผลิตในเร็ว ๆ นี้ เกษตรกรวัย 68 ปีท่านนี้ยังกล่าวด้วยว่า หากมีปริมาณน้ำมากพอหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว จะปลูกข้าวโพด เพื่อเป็นการพัฒนาการจัดการพื้นที่เกษตรของตน นอกเหนือจากการปลูกข้าวนาปี

วิธีดี ๆ ปลูกข้าวและการจัดการที่นาที่ได้เรียนรู้จากโครงการไปยังลูกหลาน เพราะการทำนาปลูกข้าวและวิถีเกษตรคือรากของเรา”
พ่อยูรกล่าว ■